วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการการศึกษาไทย ตอนที่ 2

แบบทดสอบบทที่ 3

1. แนวคิดทางการศึกษาของไทยยุคก่อนมีระบบโรงเรียน มีสาระสำคัญอะไรบ้าง
 ตอบ มีวัดเป็นแหล่งให้ความรู้ มีพระภิกษุเป็นผู้สอน จะไม่มีการจดบันทึกไว้ แต่จะใช้ความสามารถในการท่องจำ และเล่าเรียนเพื่อประกอบอาชีพเท่านั้น
2. สมัยกรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยา การจัดการศึกษาเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรอธิบาย
 ตอบ แตกต่างกัน คือ สมัยสุโขทัยเริ่มมีการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมา อีกทั้งมีสถานที่เรียนด้วยกัน 3 แห่งคือ วัด สำนักปราชญ์ราชบัณฑิต และราชสำนัก นอกจากนั้นยังได้จัดแบ่งการศึกษาเป็น 4 องค์คือ จริยศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษา และหัตถศึกษา ซึ่งเน้นเกี่ยวกับหลักคำสอนของพุทธศาสนา ส่วนในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นมีความก้าวหน้ามาก มีการแต่งหนังสือแบบเรียนขึ้นมาเป็นเล่มแรก คือ หนังสือจินดามณี และยังมีการติดต่อกับฝรั่ง ส่งผลให้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ขึ้นอีกด้วย
3. อิทธิพลชาวตะวันตกที่มีผลต่อการศึกษายุคก่อนมีระบบโรงเรียนมีอะไรบ้าง
 ตอบ การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาอย่างจริงจัง โดยมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น นอกจากนั้นยังได้สอนวิชาการแบบยุโรป ซึ่งเป็นวิชาการศึกษาที่มีความล้ำสมัย
4. การจัดการศึกษาสมัยกรุงธนบุรีและสมัยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความก้าวหน้าอย่างไร
 ตอบ เริ่มมีการนำวิทยาการใหม่ๆเข้ามา มีการจัดพิมพ์ตำราเรียน นับเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปการศึกษาของไทย
5. แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ เกิดในสมัยใด ตรงกับรัชกาลใด มีที่มาอย่างไร
 ตอบ แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ "จินดามณี" เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 ตรงกับรัชกาลที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากพระองค์ทรงเกรงว่าคนไทยจะหันไปเข้ารีตและนิยมฝรั่ง จึงทรงรับสั่งให้พระโหราธิบดีแต่งหนังสือแบบเรียนภาษาไทยเป็นของตนเองขึ้น
6. การจัดการศึกษาภาคบังคับ มีลักษณะเป็นอย่างไร จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ การกำหนดขอบเขตการศึกษาขั้นต่ำให้แก่ประชาชนทุกคน เพราะว่าการศึกษาเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
7. การจัดการศึกษาที่เรียกว่า มาติกาศึกษา เป็นอย่างไร จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ การศึกษาที่มีองค์ประกอบในการศึกษาที่พร้อม ครบถ้วน ซึ่งมาติกาการศึกษามีอยู่ด้วยกัน 8 มาติกา คือ
    1) ตำบลที่เล่าเรียน ในอดีตคือ ที่ตั้งของวัด และในปัจจุบันคือ ที่ตั้งของโรงเรียน
    2) โรงเรียน ในอดีตคือ ที่เรียนในวัด
    3) นักเรียนและครู ในอดีตมี 3 ประเภท คือ พรภิกษุ สามเณร และศิษย์วัด
    4) เวลาเรียน ในอดีตคือ ตอนพระว่าง และในปัจจุบันคือ เวลา 08.00-16.00 น.โดยประมาณ
    5) เครื่องเล่าเรียน ในอดีตคือ กระดานฉนวน ดินสอพอ ปากกาไม้ไผ่ เป็นต้น และในปัจจุบันคือ ปากกา ดินสอ กระดาษ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
    6) วิชาหนังสือ คือ หนังสือเรียนและหนังสืออ่านประกอบ
    7) วิชาเลข คือ เลขคณิตวิธีต่างๆ
    8) ข้อบังคับการเรียน คือ ระเบียบวินัยในการเรียน การชมเชย และการลงโทษ
8. การจัดการศึกษาที่มุ่งคนเข้ารับราชการตรงกับสมัยใด จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากประเทศนั้นต้องการหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ารับราชการ เพราะต้องการพัฒนาประเทศและการศึกษาให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
9. การปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นด้วยหรือไม่ จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ เห็นด้วย เพราะมีการแบ่งขอบเขตในการพัฒนาการศึกษาอย่างชัดเจน คือ การประกาศเขตพื้นที่การศึกษา อีกทั้งการกระจายอำนาจให้สถานศึกษา ทำให้ประชาชนมีสิทธิในการศึกษาหาความรู้อย่างเท่าเทียมกัน และการจัดการศึกษาได้มุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีศักยภาพสูงขึ้นจากเดิม
10. ท่านเข้าใจการจัดการศึกษาเข้าสู่สมาคมอาเซียน มียุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างไร
 ตอบ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ การสร้างความตระหนักในหลักสูตรระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เตรียมบุคลากรครูและนักเรียนเพื่อรับรองและขยายโอกาสทางการศึกษา ที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีความแตกต่างทั้งด้านภาษาและวัฒธรรม

ปรัชญาการศึกษา

ปรัชญาการศึกษา

ปรัชญาสารัตถนิยม- หลักการคือ หนทางแห่งการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางสังคม
- กำหนดโดย วิลเลี่ยม แบกเลย์ , ไอแซค แดนเดล และ เฮอร์เมน-เชื่อว่า ผู้เรียน คือ ดวงจิตเล็กๆ เปรียบได้เป็นผู้รับ ดังนั้นครูจึงมีความสำคัญ โดยกระทำเป็นตัวอย่างหรือผู้ให้
- มาจากการผสานระหว่าง"ปรัชญาจิตนิยม"กับ"ปรัชญาสัจนิยม"
   โดยปรัชญาจิตนิยมนั้นมีความเชื่อว่า การศึกษา คือ เครื่องมือในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ซึ่งหลักสูตรการศึกษาจึงประกอบด้วย ความรู้, ทักษะ, เจตคติ, ค่านิยม และวัฒนธรรม
   ส่วนปรัชญาสัจนิยมนั้นมีความเชื่อว่า การศึกษา คือ เครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้และความจริงทางธรรมชาติ ซึ่งหลักสูตรการศึกษาจึงประกอบด้วย ความรู้, ความจริง, และการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับกฏเกณฑ์และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ
- จุดมุ่งหมายของการศึกษา
   1. ถ่ายทอดมรดกทางปัญญาและสังคม
   2. พัฒนาสติปัญญาและวินัยของมนุษย์ให้เป็นผู้เฉลียวฉลาด
- การนำไปใช้
   ประถมศึกษา  > สอนอ่าน/เขียน/คิดเลข โดยพื้นฐานทั่วไป
   มัธยมศึกษา > สอนเข้มข้นขึ้น
   อุดมศึกษา > สอนเน้นเฉพาะด้านที่ผู้เรียนได้เลือกไว้
- ข้อดี
   มีวินัย
   มีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีบท
-ข้อเสีย
   มีการกำหนดกฏเกณฑ์มากเกินไป


ปรัชญานิรันตรนิยม- หลักการเชื่อว่า "หนทางที่ย้อนกลับไปสู่วัฒนธรรมอันดีงามในอดีต"
- บาทหลวง เซนต์ โทมัส อะไควนัส ดัดแปลงมาจากปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมของอริสโตเติ้ล ซึ่ง โรเบิร์ต ฮัทชิน , มอร์ติเมอร์ แอดเลอร์ และ เซอร์ริชาร์ด ลิฟวิ่งสโตน ได้รวบรวมหลักการและให้กำเนิดปรัชญานิรันตรนิยมในปี ค.ศ. 1929
- มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก กลุ่มสัจนิยมเชิงเหตุผล เป็นความเชื่อทางฝ่ายศาสนาและฆารวาสมาผสมกัน
- ใช้ความคิดเชองเหตุผลมาตัดสินใจสิ่งต่างๆ
- สาระสำคัญ
   เน้นเรื่องคุณงามความดี เน้นระเบียบวินัย
   ผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
   ใช้วิธีการบรรยายในการรับรู้ จดจำ
   ใช้การออกกำลังกายในการสร้างระเบียบวินัยแก่ผู้เรียน

ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม- หลักการเชื่อว่า "หนทางก้าวหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม"
- ริเริ่มแนวคิดโดย ยัคส์ รุสโซ , จอห์นเฮนรี่ เปสตาลอสซี่ และ เฟรด เดอริค โฟรเบล- อาศัยหลักการของปรัชญาการศึกษาสาขาประสบการณ์นิยม พื้นฐานมาจากปรัชญากลุ่มเสรีนิยม
- เน้นประสบการณ์ มุ่งพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียนด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
- ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ครูเป็นเพียงผู้แนะนำ มีหน้าที่จัดหาประสบการณ์ที่ดีและเหมาะสมกับผู้เรียน
- ใช้วิธีสอนแบบการแก้ปัญหาตามหลักวิทยาศาสตร์

ปรัญชาปฏิรูปนิยม- อาศัยแนวความคิดของปรัชญาปฏิบัติ และผนวกความคิดของปรัชญาพิพัฒนาการเข้าด้วยกัน
- หลักการเชื่อว่า "หนทางปฏิรูปเพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่" ยึดถือการศึกษาเพื่อปฏิรูปสังคม
- ส่งเสริมให้โรงเรียนมีบทบาทในการปฏิรูปสังคม สอนให้มีการอภิปรายกลุ่ม
- การศึกษาที่เป็นหลักของการพัฒนาคือ สร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรม

พุทธปรัชญา
- มาจากพระพุทธศาสนา
- หมายถึง การศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริง เข้าใจความหมายของชีวิต
- มุ่งลดโลภ โกรธ หลง และพัฒนาความรู้ ความจำ นิสัย และอื่นๆ 

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการการศึกษาไทย ตอนที่ 1

วิวัฒนาการการศึกษาไทย

สมัยโบราณ
- ศูนย์กลางของการศึกษา คือ บ้านและวัด
- ผู้ชาย จะบวชเรียน
  ผู้หญิง จะเรียนเย็บปักถักร้อย


สมัยสุโขทัย

- ผู้ชาย บวชเป็นพระ
  ผู้หญิง จะเรียนเกี่ยวกับเรื่องของกุลสตรี
- สถานที่เรียน
   ๑. บ้าน
   ๒. วัด(สำหรับผู้ชาย) / หอเรือน(สำหรับผู้หญิง)
   ๓. สำนักพระราชบัณฑิต(สำหรับผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์/ชนชั้นสูง)
   ๔. พระราชวัง(เชื่อพระวงศ์)


สมัยอยุธยา

- ทหาร เรียนเกี่ยวกับการใช้อาวุธ.การขี่ช้าง/ม้า
- พลเรือน ชาย จะบวชเรียนพระธรรม และเรียนเกี่ยวเลข,โหราศาสตร์ และมีความเชื่อที่ว่า"หากไม่ยอมบวชเรียนจะไม่ได้เข้ารับราชการ"
                 หญิง เรียนเกี่ยวกับเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร และการแกะสลัก
- มีการสร้างหนังสือ"จินดามณี"
- มีการตั้งโรงเรียนมิชชันนารีเป็นครั้งแรก


สมัยธนบุรี

- มีการเกิดสงครามบ่อย แต่ก็ยังมีการพัฒนาในเรื่องการศึกษา
- ศูนย์กลางของการศึกษา คือ วัด โดยมีการสอนหนังสือจินดามณีโดยพระสงฆ์
- พ่อแม่จะสอนอาชีพของตนแก่ลูก
- ไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ แต่จะให้เรียนเกี่ยวกับกุลสตรี


สมัยรัตนโกสินทร์

- ผู้ชาย จะเรียนที่วัด เกี่ยวกับการอ่าน การเขียน และหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
- ไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียน แต่มีผู็หญิงบางส่วนที่อ่านออก เขียนได้
- ชนชั้นสูง จะเรียนเกี่ยวกับปรัชญาและเครื่องกล


สมัยใหม่

- เริ่มจาก รัชกาลที่5 มีการให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก เริ่มมีการนำการศึกษาตะวันตกมาปรับใช้ และมีการเลิกทาสเพื่อให้สิทธิในการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ที่ว่า
     "เจ้านายราชตระกูลตั้แต่ลูกฉันเป็นต้นไป ตลอดจนราษฎรที่ต่ำสุด จะได้มีโอกาสเล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่ เพราะฉะนั้น จึงขอบอกได้ว่าการเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานั้น จะเป็นข้อสำคัญอันดับหนึ่ง ซึ่งฉันจะจัดให้เจริญขึ้นจงได้"
- พ.ศ. 2427 มีการจัดตั้ง"โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ"
- ในปัจจุบัน มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ทำให้ขอบเขตของการศึกษาเล่าเรียนทีเพิ่มมากขึ้น สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กห่างไกลจากการท่องจำมากขึ้นด้วย และมีการติวเตอร์กันมากขึ้น
- "You are what you learn"
- "Teach less learn more"